วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ดนตรี - ยุคเรเนซองส์

ดนตรีสมัยรีเนซองส์ (THE RENAISSANCE PERIOD 1450-1600)

ภาพ The Birth of Venus

          คำว่า Renaissance แปลว่า “การเกิดใหม่ ” (Re-birth) ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ปัญญาชนในยุโรปได้ หันความสนใจจากกิจการฝ่ายศาสนาที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัดตลอดสมัยกลาง มาสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งมีแนวความคิดอ่านและวัฒนธรรมตามแบบกรีก และโรมันโบราณ สมัยแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยานี้ ได้เริ่มขึ้นครั้งแรกตามหัวเมืองภาคเหนือของแหลมอิตาลีโดยได้เริ่มขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ก่อนแล้วจึงแพร่ไปยังเวนิช ปิสา เจนัว จนทั่วแคว้นทัสคานีและลอมบาร์ดี จากนั้นจึงแพร่ไปทั่วแหลมอิตาลีแล้วขยายตัวเข้าไปในฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ

         ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ายในสมัยศิลป์ใหม่ แต่ได้มีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบมากขึ้น ลักษณะการสอดประสานทำนอง ยังคงเป็นลักษณะเด่น เพลงร้องยังคงนิยมกัน แต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 รูปแบบของดนตรีมีความแตกต่างกันดังนี้ (ไขแสง ศุขะวัฒนะ,2535:89)


  1. สมัยศตวรรษที่ 15 




         ประชาชนทั่วไปได้หลุดพ้นจากการปกครองระบอบศักดินา (Feudalism) มนุษยนิยม (Humanism) ได้กลายเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา ศิลปินผู้มีชื่อเสียง คือ ลอเร็นโซ กิแบร์ตี โดนาเต็ลโล เลโอนาร์โด ดา วินชิ ฯลฯ เพลงมักจะมี 3 แนว โดยแนวบนสุดจะมีลักษณะน่าสนใจกว่าแนวอื่น ๆ เพลงที่ประกอบด้วยเสียง 4 แนว ในลักษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส

        เริ่มนิยมประพันธ์กันซึ่งเป็นรากฐานของการประสานเสียง 4 แนว ในสมัยต่อ ๆ มา เพลงโบสถ์จำพวกแมสซึ่งพัฒนามาจากแชนท์มีการประพันธ์กันเช่นเดียวกับในสมัยกลาง เพลงโมเต็ตยังมีรูปแบบคล้ายสมัยศิลป์ใหม่ ในระยะนี้เพลงคฤหัสถ์เริ่มมีการสอดประสานเกิดขึ้น คือ เพลงประเภทซังซอง แบบสอดประสาน (Polyphonic chanson) ซึ่งมีแนวทำนองเด่น 1 แนว และมีแนวอื่นสอดประสานแบบล้อกัน (Imitative style) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลักษณะของการใส่เสียงประสาน (Homophony)

        ลักษณะล้อกันแบบนี้เป็นลักษณะสำคัญของเพลงในสมัยนี้ นอกจากนี้มีการนำรูปแบบของโมเต็ตมาประพันธ์เป็นเพลงแมสและการนำหลักของแคนนอนมาใช้ในเพลงแมสด้วย

        2.  สมัยศตวรรษที่ 16

        มนุษยนิยมยังคงเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา การปฏิรูปทางศาสนาและการต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนาของพวกคาทอลิกเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งของคริสต์ศาสนาเพลงร้อง แบบสอดประสานทำนองพัฒนาจนมีความสมบูรณ์แบบเพลงร้องยังคงเป็นลักษณะเด่น แต่เพลงบรรเลงก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพลงโบสถ์ยังมีอิทธิพลจากเพลงโบสถ์ของโรมัน แต่ก็มีเพลงโบสถ์ของนิกายโปรแตสแตนท์เกิดขึ้น การประสานเสียงเริ่มมีหลักเกณฑ์มากขึ้น การใช้การประสานเสียงสลับกับการล้อกันของทำนองเป็นลักษณะหนึ่งของเพลงในสมัยนี้ การแต่งเพลงแมสและโมเต็ต นำหลักของการล้อกันของทำนองมาใช้แต่เป็นแบบ ฟิวก์ (Fugue) ซึ่งพัฒนามาจากแคนนอน คือ การล้อของทำนองที่มีการแบ่งเป็นส่วน ๆ ที่สลับซับซ้อนมีหลักเกณฑ์มากขึ้นในสมัยนี้มีการปฏิวัติทางดนตรีเกิดขึ้นในเยอรมัน ซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้ง



        ทางศาสนากับพวกโรมันแคธอลิก จึงมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่โดยใช้กฏเกณฑ์ใหม่ด้วยเพลงที่เกิดขึ้นมาใหม่เป็นเพลงสวดที่เรียกว่า “โคราล” (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่นำมาจากแชนท์แต่ใส่อัตราจังหวะเข้าไป นอกจากนี้ยังเป็นเพลงที่นำมาจากเพลงคฤหัสถ์โดย ใส่เนื้อเป็นเรื่องศาสนาและเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ด้วย เพลงในสมัยนี้เริ่มมีอัตราจังหวะแน่นอน เพลงคฤหัสถ์มีการพัฒนาทั้งใช้ผู้ร้องและการบรรเลง กล่าวได้ว่าดนตรีในศตวรรษนี้มีรูปแบบ ใหม่ ๆ เกิดขึ้นและหลักการต่าง ๆ มีแบบแผนมากขึ้น

        ในสมัยนี้มนุษย์เริ่มเห็นความสำคัญของดนตรีมาก โดยถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นอกจากจะให้ดนตรีในศาสนาสืบเนื่องมาจากสมัยกลาง (Middle Ages) แล้วยังต้องการดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) เพื่อพักผ่อนในยามว่าง เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ดนตรีของคฤหัสถ์ (Secular Music) และดนตรีศาสนา (Sacred Music) มีความสำคัญเท่ากัน

สรุปลักษณะบทเพลงในสมัยนี้

1. บทร้องใช้โพลีโฟนี (Polyphony) ส่วนใหญ่ใช้ 3-4 แนว ในศตวรรษที่ 16 ได้ชื่อว่า “The Golden Age of Polyphony”
2. มีการพัฒนา Rhythm ในแบบ Duple time และ Triple time ขึ้น
3. การประสานเสียงใช้คู่ 3 ตลอด และเป็นสมัยสุดท้ายที่มีรูปแบบของขับร้องและบรรเลงเหมือนกัน

เครื่องดนตรีสมัยรีเนซองส์

- เครื่องดนตรีในสมัยนี้ที่นิยมใช้กันได้แก่ เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก
ได้แก่ ซอวิโอล (Viols) ขนาดต่าง ๆ ซอรีเบค (Rebec) ซึ่งตัวซอมีทรวดทรงคล้ายลูกแพร์เป็นเครื่องสายที่ใช้คันชัก ลูท เวอร์จินัล คลาวิคอร์ด ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ปี่ชอม ปี่คอร์เน็ต แตรทรัมเปต และแตรทรอมโบนโบราณ เป็นต้น









เวอร์จินัล



คลาวิคอร์ด




ประวัติผู้ประพันธ์เพลง

1. ดันสเตเบิล (John Dunstable, ประมาณ 1390 –1453)
        ผู้ประพันธ์เพลงชาวอังกฤษ ซึ่งนอกจากมีชื่อเสียงเรื่องการประพันธ์เพลงแล้ว ยังเป็นนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์อีกด้วย เป็นผู้ทำให้วงการดนตรีรู้จักและยกย่องดนตรีของชาวอังกฤษ ชีวิตส่วนใหญ่ของ ดันสเตเบิลไปอยู่ในฝรั่งเศส โดยการไปรับใช้ดยุคแห่งเบดฟอร์ด ผลงานการประพันธ์ของ ดันสเตเบิลไม่ว่าจะเป็นเพลงร้อง เพลงแมสและโมเต็ตล้วนได้รับการยกย่องในเขตยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี 1420-1430 รูปแบบดนตรีของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการดนตรี เขาคงความมีชื่อเสียงได้จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1453 ผู้ประพันธ์เพลงที่รับเอาอิทธิพลของดันสเตเบิลไว้ ได้แก่ แบงชัวส์ และดูเฟย์ และผู้ประพันธ์คนอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มผู้ประพันธ์เพลงเบอกันดี (Burgandy) ดันสเตเบิลใช้รูปแบบการประสานเสียงที่ดนตรีมาตรฐานนิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็นในสมัยคลาสสิก โรแมนติก
หรือเพลงสมัยนิยม ในขณะที่ดนตรีในสมัยนั้นโดยทั่ว ๆ ไปไม่นิยมการประสานเสียงในลักษณะนี้เลย จึงกล่าวได้ว่าดันสเตเบิลเป็นบิดาของดนตรีสมัยใหม่ (ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535:143)

2. ดูเฟย์(Guillianum Dufay ประมาณ 1400-1474)
        ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ดูเฟย์เป็นหนึ่งในจำนวนนักแต่งเพลงที่มีความสามารถสูงในสมัยนี้เป็นหนึ่งของผู้ที่ริเริ่มดนตรีในสมัยรีเนซองส์ เมื่อมาโชท์สิ้นชีวิตลงในปี 1377 ดนตรีของฝรั่งเศสขาดผู้นำไป จนกระทั่งถึงดูเฟย์ซึ่งนับว่าเป็นผู้ประพันธ์ที่เป็นผู้นำทั้งในฝรั่งเศส และยุโรป ดูเฟย์ทำงานทางด้านดนตรีทั้งในอิตาลีและฝรั่งเศส ผลงานของดูเฟย์มีประกอบด้วยเพลงคฤหัสถ์และเพลงโบสถ์ โดยในระยะแรกดูเฟย์ประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ เช่น ชังซอง ในระยะต่อมาดูเฟย์ให้ความสนใจกับเพลงโบสถ์มาก และเบนแนวประพันธ์มาสู่เพลงโบสถ์
        ผลงานของดูเฟย์ที่มีชื่อเสียงคือ เพลงแมส ซึ่งประพันธ์ไว้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีเพลงโมเต็ต ซึ่งจัดเป็นเพลงที่ดูเฟย์พัฒนารูปแบบไว้และผู้ประพันธ์เพลงรุ่นต่อมานำไปใช้ ในบรรดาลูกศิษย์ของดูเฟย์มีผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงในวงการดนตรีมาก คือ โอคิกัม

 
3. โอคิกัม (Johannes Ockeghem, ประมาณ 1410-1497)
        ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ ลูกศิษย์ของดูเฟย์ ผู้ซึ่งรับเอาแนวคิดของดูเฟย์มาและนำเอาหลักการและความคิดของตนใส่เข้าไปทำให้ดนตรีของโอคิกัมมีเสน่ห์ชวนฟังทั้งนี้เนื่องจากดูเฟย์มีแนวการประพันธ์เพลงแมสที่ขาดความอบอุ่นในอารมณ์ของมนุษย์ ในขณะที่เพลงของโอคิกัมเน้นที่การแสดงออกของอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ทำให้ได้รับฉายาว่า “เจ้าชายแห่งดนตรี” (The Prince of music) โอคีกัมพัฒนารูปแบบของการสอดประสานทำนองโดยเน้นการล้อกันของแนวเสียงแต่ละแนว (Imitative style) ซึ่งเป็นต้นแบบของฟิวก์อันเป็นรูปแบบที่สำคัญในสมัยบาโรก ซึ่งบาคใช้เสมอเมื่อประมาณ 200 ปีต่อมา

        ผลงานของโอคีกัมประกอบไปด้วยแมส 14 บท (เสร็จสมบูรณ์ 11 บท) เรควิเอียม 1 บท โมเต็ต 10 บท และชังซอง 20 บท กล่าวได้ว่าผลงานของโอคีกัมส่วนใหญ่เป็นเพลงโบสถ์ทั้งสิ้น

4. จอสกิน เดอส์ เพรซ์ (Josquin des Prez, ประมาณ 1440 -1521)
        ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ผู้ที่ทำงานให้สันตะปาปา ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และย้ายมารับใช้เจ้านายในราชสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้ที่มีแนวการแต่งเพลงที่ละเอียดอ่อน และเป็นผู้นำการแต่งเพลงประสานเสียงซึ่งทำให้ผู้ฟังเห็นถึงความสดใสและความมีพลังของการขับร้อง แนวทางที่เขาใช้นี้รู้จักในนามของ Musica reservata ซึ่งเป็นภาษาละตินมีความหมายถึงดนตรีสำหรับผู้ที่เข้าถึงโดยเฉพาะ ผลงานของจอสกินได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีในสมัยรีเนซองส์ ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่จอสกินได้รับการยกย่องตลอดมาแม้กระทั่งเมื่อเขาสิ้นชีวิตไปแล้วผลงานของเขายังมีการนำมาตีพิมพ์ใหม่ในศตวรรษที่ 17 และได้รับการกล่าวยกย่องจากนักประวัติศาสตร์ดนตรีชาวอังกฤษ คือ เซอร์จอห์น ฮอว์กินส์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 อีกด้วย กล่าวได้ว่า จอสกิน เดอส์ เพรซ์ คือ ผู้ประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งในสมัยรีเนซองส์ มีผลงานดีเด่นในลักษณะเพลงโบสถ์เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์คนอื่น ๆ ในสมัยนั้น







5. โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)
        เกิดปี ค.ศ 1505 เสียชีวิต 23 พฤศจิกายน 1585 เป็นนักออร์แกนและเป็นนักแต่งเพลงชาวอังกฤษเป็นเพื่อนกับ เบิร์ด (William Byrd) เขาเป็นนักออร์แกนของ Dover Priory ในปี 1532 แต่ย้ายไปกรุงลอนดอน (Saint Mary-at-Hill) ต่อจากนั้นไปที่ Waltham Abbey หลังจากการเสียชีวิตของ ทัลลิส เขาได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งศาสตร์หลาย ๆ ศาสตร์ไม่ใช่เพียงดนตรีเท่านั้น” (Tallis was indeed a master,not of one but of many styles)


6. ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi da Palestrina, ประมาณ 1524-1594)
        ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนซึ่งใช้ชื่อเมืองเกิดเป็นชื่อเรียกแทนชื่อจริง ๆ ปาเลสตรินาใช้เวลาส่วนใหญ่รับใช้สันตะปาปาปอลที่ 4 ในช่วงระยะเวลานี้เขาได้สร้างสรรค์งานประเภทเพลงโบสถ์ ประกอบไปด้วยเพลงแมส 105 บท โมเต็ต และเพลงโบสถ์ลักษณะอื่น ๆ ซึ่งจัดเป็นเพลงที่มีรูปแบบของการสอดประสานทำนองที่มีคุณค่ามากที่สุดส่วนหนึ่งในโลกของดนตรีสมัยรีเนซองส์ โดยเฉพาะแมสบทหนึ่งที่มีชื่อว่า Missa Papae Marcelli (Mass for Pope Marcellus)ที่มีความบริสุทธิ์สวยงามชวนให้ผู้ฟังนึกถึงสวรรค์นอกจากเพลงโบสถ์เขาประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ได้เป็นจำนวนมากเช่นกันได้แก่เพลงมาดริกาล 4 เล่ม สำหรับการร้อง4และ 5 แนวและเพลงสำหรับการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีอีก 8 บท ซึ่งเพลงต่าง ๆ ล้วนจัดว่าเป็นเพลงในระดับคุณภาพทั้งสิ้น มีน้อยเพลงที่ไม่ถึงระดับคุณภาพนอกเหนือไปจากการเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่โด่งดัง เขายังเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ และหัวหน้านักร้องประสานเสียงประจำโบสถ์


7. เบิร์ด (William Byrd, 1543-1623)
        ผู้ประพันธ์เพลงและนักออร์แกนชาวอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้น เบิร์ดได้รับอิทธิพลและสไตล์ในการแต่งเพลงโดยมีลักษณะเฉพาะของอังกฤษมาจากครูของเขาคือ Thomas Tallis ขณะที่อายุเพียง 20 ปี เบิร์ดมีช่วงชีวิตอยู่ในสมัยของการขัดแย้งทางศาสนาคริสต์จนในที่สุดอังกฤษได้จัดตั้งนิกายใหม่ขึ้นมาคือ The Church of England แม้ว่าเบิร์ดเป็นชาวแคธอลิคเขาประพันธ์เพลงโบสถ์ทั้งนิกายแคธอลิคและแองกลิกัน นอกจากเพลงโบสถ์ เขาประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ประเภทต่าง ๆ ไว้มากมายเช่น มาดริกาลเพลงสำหรับคีย์บอร์ดและอื่น ๆผลงานของเบิร์ดไม่ว่าจะเป็นเพลงโบสถ์หรือเพลงคฤหัสถ์ล้วนเป็นบทเพลงที่มีคุณค่าทั้งสิ้น เบิร์ดและเพื่อนคือ โธมัส ทาลิสได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งให้จัดพิมพ์โน้ตดนตรีแต่ผู้เดียวในสมัยนั้น


ตัวอย่างเพลงของ William Byrd
สังเกตได้ว่าเสียงประสานจะแตกต่างจากเพลงในยุคกลาง
ซึ่งเพลงนี้มีเสียงประสานเยอะกว่า และในไลน์ของเสียงเบสมีการ movement มากขึ้น ไม่ได้ลากยาวเฉยๆ

8. มอนแทแวร์ดี (Claudio Monteverdi, 1567-1643)

              ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน ซึ่งรับใช้ทั้งในราชสำนักและในวัดหลายแห่งตลอดชีวิตของเขา เป็นผู้ที่เริ่มดนตรีสมัยใหม่โดยโจมตีแนวคิดเก่า ๆ ในขณะนั้นเกี่ยวกับแนวการแต่งเพลงที่ใช้ดนตรีเน้นบทร้องให้เด่นขึ้นมาซึ่งเรียกว่า Word painting โดยกล่าวว่าดนตรีควรใช้ในการแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกและเนื้อหาของเพลงมากกว่าคำแต่ละคำในบทร้อง นอกจากนี้ยังวิจารณ์การใช้โครงสร้างของการสอดประสานทำนองซึ่งเป็นหลักที่ใช้กันทั่วไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับการร้องแนวเดียวไม่มีการสอดประสาน (Monody) เขาฝากผลงานไว้มากมายทั้งเพลงโบสถ์และเพลงคฤหัสถ์ ส่วนใหญ่ของผลงานเพลงโบสถ์ใช้รูปแบบการประพันธ์แบบการร้องเพลงของสองกลุ่มนักร้อง (Antiphonal Style) มีทั้งเพลงแมสและเพลงประเภทอื่น ๆ เช่น เพลงมาดริกาลที่มีบทร้องเป็นเรื่องศาสนา สิ่งหนึ่งที่เขาสร้างสรรค์ไว้และถือเป็นจุดเริ่มต้นของดนตรีในรูปแบบนี้คือ โอเปร่า ไม่ว่าจะเป็นการร้องเดี่ยว การร้องประสานเสียงและดนตรีที่บรรเลงล้วนนำไปสู่อารมณ์ความรู้สึกซึ่งทำให้โอเปร่าของเขาเป็นผลงานที่ควรแก่การยกย่องและแนวคิดในเรื่องการบรรเลงดนตรีประกอบโอเปร่านี้เองจัดได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของวงออร์เคสตรา โอเปร่าส่วนใหญ่ของมอนเทแวร์ดีสูญหายไปหมด คงเหลืออยู่เพียง 3 เรื่อง ได้แก่ Orfeo ,2 Ritorno of Ulisse in Patria (The Return of Ulysses) และ L' Incoronazione of Poppea (The Coronation of Popea) กล่าวได้ว่าเขามีแนวคิดในการประพันธ์เพลงแบบโรแมนติกดังที่เขากล่าวไว้ว่า ดนตรีควรอยู่บนรากฐานของธรรมชาติในความเป็นมนุษย์กล่าวคือดนตรีควรใช้ในการแสดงออกถึงความรักอย่างเต็มรูปแบบ ความเศร้าซึมจนถึงความโกรธ หรือความสุขสันต์จนถึงความผิดหวัง โน้ตตั้งแต่สมัย 1560-1571

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น